กับดัก “สตาร์ทอัพ-เอสเอ็มอี” ทำไมไทยเดินช้ากว่าอาเซียน

เรื่องที่น่าสนใจ

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีกลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่สำหรับประเทศไทย เส้นทางการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้กลับเต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ทำให้การพัฒนาเกิดขึ้นอย่างล่าช้าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

นิยามที่คลุมเครือและโครงสร้างที่ไม่ชัดเจน

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผยว่า แม้ประเทศไทยจะมีโอกาสและศักยภาพในการทำธุรกิจไม่แพ้ประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ไทยมีผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่กลับมีอยู่น้อย

กับดักสำคัญประการแรกของผู้ประกอบการไทยคือ การนิยามคำว่า “สตาร์ทอัพ” ที่ยังไม่มีความชัดเจน ในขณะที่ทั่วโลกมองว่าสตาร์ทอัพเป็นธุรกิจที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ด้วยการรวมตัวของบุคคลเพื่อสร้างสิ่งใหม่และสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ในประเทศไทย ผู้ที่เรียกตนเองว่าสตาร์ทอัพส่วนใหญ่กลับเป็นผู้ที่มีทุนทรัพย์จากครอบครัวอยู่แล้ว หรือเป็นเพียงการแยกตัวออกมาจากธุรกิจครอบครัวเพื่อต่อยอดสิ่งเดิม

“ในประเทศไทย แค่เริ่มทำธุรกิจเป็นผู้ประกอบการก็มักจะเรียกตัวเองว่าเป็นสตาร์ทอัพแล้ว เมื่อมองสเต็ปต่อไปที่ต้องหาเงินทุน ระดมทุน หรือ Joint Venture กลับอยากทำอยากสร้างธุรกิจเอง จนสุดท้ายจากสตาร์ทอัพก็กลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs เป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่ไปต่อได้ยาก” นางสาวรุ้งเพชรกล่าว

การสนับสนุนที่กระจัดกระจายและขาดความต่อเนื่อง

ปัจจุบัน หน่วยงานที่สนับสนุนผู้ประกอบการในไทยมีหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หรือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่สามารถให้ทุนสนับสนุนผู้ประกอบการได้ แต่เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว ผู้ประกอบการต้องวิ่งหาช่องทางการค้าด้วยตนเอง ซึ่งต้องข้ามไปอีกหลายหน่วยงาน หลายกระทรวง

ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยสนใจมองหา “Incubator” หรือผู้ “บ่มเพาะ” ธุรกิจ ที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำแก่สตาร์ทอัพตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น อีกทั้งหากมีที่ตั้งอยู่นอกกรุงเทพฯ โอกาสในการเข้าถึงการสนับสนุนยิ่งน้อยลงไปอีก

เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

“จากประสบการณ์ทำงานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองภาพรวมเห็นในประเทศกลุ่ม Southeast Asian มีจำนวนสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีเป็นจำนวนมาก แต่ประเทศไทยเกิดได้ยาก” นางสาวรุ้งเพชรกล่าว

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศข้างเคียง สิงคโปร์มีโครงสร้างสนับสนุนสตาร์ทอัพที่เข้มแข็งและมีแบบแผนชัดเจน ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามก็มีกระทรวงเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพโดยเฉพาะ มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง ช่วยผลักดันผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ตลอดจนพาไปยังช่องทางการขายและแข่งขันในตลาดได้ ส่งผลให้ธุรกิจในประเทศเหล่านี้กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด

นอกจากโครงสร้างที่ไม่ชัดเจนและไม่แข็งแรงแล้ว อีกปัจจัยสำคัญคือ “คนไทยยังมีความอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของธุรกิจเอง และเสียดายสิ่งที่ทำมาจนไม่อาจปล่อยมือ” ซึ่งทำให้ยากต่อการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจหรือการระดมทุนจากภายนอก

ปัญหาด้านการศึกษาที่ไม่ตอบโจทย์ธุรกิจจริง

ผศ.ดร.เกรียงไกร สัจจะหฤทัย คณบดีคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ชี้ให้เห็นว่า จากรายงาน IMD World Competitiveness Ranking 2024 แม้ประเทศไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ แต่ระบบการศึกษาการจัดการไทย และการตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ ตกลงไป 13 อันดับ ลดลงจากลำดับที่ 19 เป็น 32

ปัญหาสำคัญ 5 ประการของการศึกษาไทยที่ไม่ตอบโจทย์การสร้างผู้ประกอบการ ได้แก่:

  1. อาจารย์ขาดประสบการณ์จริง การสอนในห้องเรียนยังขาดการเชื่อมโยงกับโลกธุรกิจจริง
  2. งานวิจัยไม่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ เน้นตีพิมพ์ผลงานวิชาการมากกว่าการวิจัยที่สามารถนำไปปรับใช้แก้ปัญหาในตลาดจริง
  3. ความยั่งยืนเป็นเพียงรูปโฉม หลักสูตรในหลายสถาบันพูดถึงแนวคิดความยั่งยืนเพียงแค่ในระดับการตลาด ไม่ได้บูรณาการอย่างแท้จริง
  4. ขาดการสอนนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ หลักสูตรยังไม่มีการบูรณาการแนวคิดอย่าง Design Thinking และ Creative Thinking
  5. ล้าหลังด้านเทคโนโลยีและ AI ขาดผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่และ AI ทำให้หลักสูตรไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลง

ความสำคัญของเอสเอ็มอีต่อเศรษฐกิจไทย

แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ปัจจุบันมีจำนวนถึง 3.2 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด และจ้างงานรวมประมาณ 12.8 ล้านคน หรือเฉลี่ย 4 คนต่อกิจการ

ในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ SMEs มีสัดส่วนประมาณ 38.5% ของ GDP ประเทศไทย และมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกประมาณ 14% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ตามโครงสร้าง GDP ของ SMEs ในปี 2566 ภาคการบริการมีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือ ภาคการผลิต และภาคการค้าปลีกและค้าส่ง

บทเรียนจากต่างประเทศและแนวทางพัฒนา

หากมองไปยังประเทศที่ประสบความสำเร็จในการส่งเสริม SMEs อย่างฮ่องกง พบว่ามีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดงานแสดงสินค้า SME Market Day เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการส่งออกของ SMEs อย่างต่อเนื่อง

สำหรับประเทศไทย การจะไต่อันดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้ดีขึ้นและสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ตอบโจทย์โลกธุรกิจยุคปัจจุบัน จำเป็นต้องปรับรูปแบบการศึกษาด้านการจัดการและสร้างระบบสนับสนุนเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ที่เข้มแข็งและต่อเนื่อง

ประเทศไทยจำเป็นต้องมีโครงสร้างการสนับสนุนที่ชัดเจน มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงและครบวงจร ตั้งแต่การบ่มเพาะธุรกิจ การให้คำปรึกษา การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ไปจนถึงการพัฒนาช่องทางการตลาดและการส่งออก ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

นอกจากนี้ ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ประกอบการไทยให้เปิดรับการร่วมทุนและพันธมิตรทางธุรกิจมากขึ้น รวมถึงปรับระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจ เน้นการสร้างประสบการณ์จริง การพัฒนานวัตกรรม และการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่

ด้วยการแก้ไขกับดักเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ประเทศไทยจะสามารถพัฒนาระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีที่แข็งแกร่ง และก้าวตามประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนได้อย่างทันท่วงที เพื่อสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว