ในฐานะรองแชมป์เก่า เชลซี หวิดโบกมือลาฟุตบอล เอฟเอคัพ ตั้งแต่รอบสี่ทั้งๆที่ได้ปักหลักลงเล่นในรังตัวเองต้อนรับการมาเยือนของ พลีมัธ ทีมจากลีกวัน
แถมเป็นอาคันตุกะ ที่ได้ประตูออกนำตั้งแต่ไก่โห่ และแม้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า จะตีเสมอได้ช่วงท้ายครึ่งแรก แต่เกมมีอันต้องลากยาวไปจนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ
รวมแล้วปฏิเสธไม่ได้ว่า มาร์กอส อลอนโซ่ คือฮีโร่ของ สิงห์บลูส์ แต่ขณะที่เหลือเวลาอีกแค่สามนาทีจะครบ 120 นาที พลีมัธ มาได้ลูกโทษ แต่ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า พุ่งตะปบการสังหารจาก ไรอัน ฮาร์ดี้ ได้แบบอยู่หมัด
และนี่คือ 5 ประเด็นที่สังเกตได้จากเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์
1.สิงห์บลูส์ โดนสนิมเกาะ
เชลซี ลงเล่นเป็นเกมแรกในรอบ 13 วัน และแม้จะส่งทีมชุดใหญ่ลงสนามแบบเต็มอัตราศึก แต่มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาโดนสนิมเล่นงานตั้งแต่ออกสตาร์ต
ทีมเงินถังของ พรีเมียร์ลีก ไม่ได้ลงบู๊อีกเลยนับตั้งแต่เปิดรังทุบ สเปอร์ส 2-0 ในเกมลีกเมื่อวันที่ 23 ม.ค. อีกทั้งเกมนี้พวกเขาไม่คิดประมาททีมเยือนด้วยดังจะเห็นถึงการจัดทัพลงบู๊
และจากโผรายชื่อที่มีทั้ง เมสัน เมาท์น , อันโตนิโอ รือดิเกอร์ , จอร์จินโญ่ , โรเมลู ลูกากู และ ฯลฯ ก็ให้น่าเป็นห่วงแทน พลีมัธ ซะเหลือเกินว่าน่าจะต้องกลับรังตัวเองในสภาพศพไม่สวย
แต่จากความเป็นไป เชลซี ต้องซี่โครงบานจนถึงช่วงต่อเวลา และมาได้ อาร์ริซาบาลาก้า ช่วยชีวิตเอาไว้ หาไม่แล้วเราอาจได้เห็นการดวลลูกโทษที่ไม่เข้าใครออกใครก็เป็นได้
2. ไม่มี โธมัส ทูเคิ่ล คอยตะโกนอยู่ข้างสนาม
ในเกมต่อกรกับ พลีมัธ เจ้าบ้านปราศจากนายใหญ่ชาวเยอรมันซึ่งติดเชื้อโควิด19 และต้องกักตัวตามกฏ
แถมยังไม่แน่ว่า ทูเคิ่ล จะพลาดการคุมทีมทำศึกฟุตบอลสโมสรโลกที่ดูไบด้วยหรือเปล่าโดยแชมป์ยุโรปมีคิวลงเล่นรอบตัดเชือกในวันพุธนี้รอฟาดเกือกกับทีมชนะระหว่าง อัล ฮิลัล จากซาอุดิอาระเบียกับ อัล จาซีร่า ทีมจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ต่อการขาดนายใหญ่คนเก่ง เชลซี ต้องอาศัย อาร์โน มิเชลส์ มือขวาของ ทูเคิ่ล คุมทีมแทน แต่เขาเผยหลังเกมว่าติดต่อกับบิ๊กบอสตลอดเวลา
กระนั้นก็ดี เห็นได้ชัดว่าการไม่มี ทูเคิ่ล คอยตะโกนโหวกเหวกที่ข้างสนามเหมือนเคยส่งผลกระทบต่อ สิงห์บลูส์ ไม่น้อยเลย
ยิ่งเป็นเกม เอฟเอคัพ แพ้ตกรอบด้วยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ขุนพลเจ้าบ้านระส่ำระสายเหมือนกันกับการปราศจากเจ้านายใหญ่คอยบงการเกม หรือสั่งจัดกระบวนทัพภายใต้สถานการณ์ที่หลากหลาย
3.เอฟเอคัพ ไม่มีวันตาย
แม้หลายปีหลัง ฟุตบอล แชมเปี้ยนส์ลีก จะเข้ามาบดบังความสำคัญของฟุตบอลรายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไปไม่น้อย แต่ยังไงซะ เอฟเอคัพ ก็มีแบบฉบับเป็นตัวของมันเอง
นั่นคือการเตะแบบแพ้คัดออก ทีมเล็กสามารถเอาชนะทีมใหญ่ได้ และรายการ “แจ็คล้มยักษ์” ก็มีให้เห็นแล้วในเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้การดวลลูกโทษต่อ มิดเดิ้ลสโบรช์ คา โรงละครแห่งความฝัน เมื่อวันก่อน
ฉันใดก็ฉันนั้น พลีมัธ เกือบทำได้แบบนั้นเช่นกันในการบุกมาเยือนทีมเงินถังของเมืองกรุง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหาก ฮาร์ดี้ ซัดลูกโทษไม่พลาด เราก็อาจได้เห็นอะไรดีๆอีกคู่ได้เหมือนกัน
แต่ก็ให้น่าเสียดายแทนทีมรองบ่อนที่ดันมาเจอกับจอมเซฟลูกโทษระดับเวิร์ลคลาสอย่าง อาร์ริซาบาลาก้า ที่ช่วงนี้ได้รับโอกาสให้โชว์ฝีมืออย่างเต็มที่เนื่องจากประตูมือหนึ่งอย่าง เอดูอาร์ เมนดี้ ยังอยู่ในระหว่างการเฝ้าเสาให้ เซเนกัล ในศึก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์
4.โรเมลู ลูกากู เข้าสู่โหมดฝืดสนิท
นับตั้งแต่ให้สัมภาษณ์อยากย้ายออกจากทีม เชลซี กลับไปเล่นให้ อินเตอร์ มิลาน เนื่องจากไม่มีความสุขกับแท็คติกของ ทูเคิ่ล ก็ดูเหมือนกองหน้าผิวสีจะกู่ไม่กลับไปซะแล้ว
เป็นอีกเกมที่เจ้าของค่าตัว 98 ล้านปอนด์สร้างความผิดหวังให้กับสาวก สิงห์บลูส์ เนื่องจากไม่อาจผลิตสกอร์ให้ทีมได้ทั้งๆที่ได้ลงเล่นในบ้านรับการมาเยือนของสมันน้อยจากต่างดิวิชั่น
แต่ในเมื่อถูกสโมสรซื้อกลับมาอย่างแพง แถมศูนย์หน้าทีมชาติเบลเยี่ยมอยู่ในช่วงฟอร์มแย่ เชลซี จึงจำเป็นต้องทนใช้งานเขาต่อไปเพื่อแสดงให้นักเตะเห็นว่าต้นสังกัดให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อรอวันที่เขาจะกลับมาวาดลวดลายได้อย่างน่าเกรงขามอีกหน
และแม้จะมีความกระตือรือร้น แต่ ลูกากู ยังไม่เข้าขั้นดาวยิงที่มีสัญชาติญาณ และในการลงเล่น 10 นัดหลัง เขาสอยตาข่ายได้แค่ 3 ประตูเท่านั้น
หรือถ้าจะตีวงให้แคบเข้าก็แค่ประตูเดียวจาก 6 เกมล่าสุดซึ่งเกิดขึ้นในถ้วยใบนี้เองรอบก่อนหน้านี้ที่ฟัดกับ เชสเตอร์ฟิลด์ ทีมนอกลีก
สำหรับเกมล่าสุดกับ พลีมัธ มีการแฉสถิติว่า “รอม” สบโอกาสสับไกแค่หนเดียวเท่านั้นทั้งๆที่ได้อยู่ในสนามครบ 120 นาที
เอาเป็นว่าหากสถานการณ์ยังลากยาวแบบนี้ต่อไปอีกระยะ คาดว่า เชลซี คงไม่เลี้ยงไว้ให้เสียข้าวสุกแน่ และดาวยิงร่างยักษ์คงได้อำลา สแตมฟอร์ด บริดจ์ สมใจอยากอีกรอบในช่วงซัมเมอร์
5.มาเตโอ โควาซิช โดนเปลี่ยนตัว
บอกได้เลยว่าแฟนบอล เชลซี ไม่ปลื้มสิ่งนี้เนื่องจาก โควาซิช เป็นหนึ่งในนักเตะทีมเจ้าบ้านที่เล่นได้ดีที่สุดคนหนึ่ง
โดยเฉพาะในครึ่งแรก เขาซัดบอลชนกรอบไปสองหน และโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในแดนกลาง
อย่างไรเสีย แม้ สิงห์บลูส์ จะต้องการคว้าชัยชนะ แต่การเปลี่ยนพ่อค้าแข้งสัญชาติโครเอเชียออกก่อนครบ 90 นาทีโดยส่ง ติโม แวร์เนอร์ หนึ่งในกองหน้าจอมฝืดแห่งยุคลงไปเล่นแทนทำให้แฟนบอลเมืองกรุงไม่สู้จะเห็นดีด้วย
ยังดีที่ว่า เชลซี เอาตัวรอดไปได้กับการผ่านเข้าสู่รอบห้า ไม่เช่นนั้นดราม่าคงบังเกิดกับสโมสรยักษ์ของ พรีเมียร์ลีก อย่างแน่นอนที่สุด
อ้างอิง
https://www.siamsport.co.th/football